พ่อมดแห่งวงการภาพยนต์ คริสโตเฟอร์ โนแลน

พ่อมดแห่งวงการภาพยนต์ คริสโตเฟอร์ โนแลน

ใครที่เป็นสายหนังไม่ว่าจะชายหรือหญิง จนมาถึงทุกวันนี้คงไม่มีใคึรไม่รู้จักผู้กำกับ และมือเขียนบท ฝีมือระดับ ชั้นแนวหน้าของวงการฮอลลีวู้ดคนนี้ พ่อมดแห่งวงการภาพยนต์ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่แค่ได้ยินชื่อว่าเขากำกับเรื่องอะไรเราก็อยากดู เพราะรสชาติหนังที่ผ่านการปรุงจากโนแลน นั้นรสชาติดีถูกปากหลายคนไม่ว่าจะหนังชีวิต หนังฮีโร่ หนังแอคชั่น หรือหนังไซไฟ โนแลน ทำได้ทุกรสชาติ เรามาทำความรู้จักกับผู้ชายคนนี้ให้มากกว่าที่เคยรู้จักกันดีกว่า

คริสโตเฟอร์ เอ็ดเวิร์ด โนแลน (Christopher Edward Nolan) เกิดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1970 เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ นักเขียนบทและผู้อำนวยการสร้างชาวอังกฤษ-อเมริกัน เขามีชื่อเสียงจากการกำกับหนังแนวจิตวิทยา-ระทึกขวัญเรื่อง ภาพหลอนซ่อนรอยมรณะ และในภาพยนตร์ แบทแมน บีกินส์ แบทแมน อัศวินรัตติกาล และ แบทแมน อัศวินรัตติกาลผงาด ที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดี

เขามักจะร่วมงานกับงานกับน้องชายของเขาที่เป็นนักเขียนบทภาพยนตร์ ที่ชื่อ โจนาธาน โนแลน และร่วมงานกับนักแสดงอย่าง คริสเตียน เบล และไมเคิล เคน โนแลนก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ชื่อ ซินก็อปปี้ฟิมส์ และเขายังถือสองสัญชาติคือสัญชาติอังกฤษและอเมริกัน รายได้จากการกำกับภาพยนตร์ของเขารวมมากกว่า 4,762 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เขาอยู่อันดับที่ 7 จากผู้กำกับที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลก

คริสโตเฟอร์ เอ็ดเวิร์ด โนแลน  ในวัยเด็ก

สำหรับคนอื่นตอน 7 ขวบเรากำลังทำอะไรอยู่ไม่แน่ใจแต่สำหรับโนแลน เขาสนใจการทำหนังตั้งแต่ 7 ขวบหลังจากได้กล้องถ่ายวิดีโอแฮนดี้แคมรุ่น ‘Super 8mm’ ของโกดัค ซึ่งเป็นกล้องถ่ายวิดีโอด้วยฟิล์ม ของพ่อเขา และโนแลน เริ่มเอากล้องถ่ายวิดีโอ นั้นมาถ่ายของเล่นเขาซึ่งในจินตนาการของเด็กก็คงกำลังเล่นสนุกโดยทำให้ของเล่นมีชีวิตในจินตนาการของเขานั่นเอง โดยที่พ่อของเขาก็ไม่ได้ห้ามอะไร แต่นั่นถือเป็นการจุดประกายให้โนแลน หลงรักการเล่าเรื่องด้วยภาพเคลื่อนไหว

ตอนที่โนแลนอายุ 8 ขวบ ลุงเขาของซึ่งทำงานอยู่นาซ่า นำฟุตเทจบางส่วนเกี่ยวกับการสร้างจรวดอพอลโล มาให้โนแลน ซึ่งเขานำฟุตเทจนั้นมาตัดอีกทีเพื่อทำเป็นหนังสต็อปโมชั่น เรื่อง Space War เพราะได้แรงบันดาลใจจาก Star Wars โนแลน บอกว่าตอนนั้นเขาได้ลองตัดหนังของเองครั้งแรก หลังจากนั้นเขาเริ่มมีความฝันลางๆ ว่าอยากจะเป็นอะไรกระทั่งอายุ 11 โนแลนให้สัมภาษณ์ว่าหลังจากนั้นเขาบอกกับตัวเองว่าอยากจะเป็นผู้กำกับ

โนแลน เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ด้านวรรรกรรมอังกฤษ โดยสาเหตุที่เขาเลือกเรียนที่ UCL ก็เพราะว่าที่นี่มีอุปกรณ์ในการทำภาพยนตร์ครบและเพียงพอต่อความสนใจของเขาทั้งห้องตัดต่อ และกล้องถ่ายวิดีโอฟิล์ม 16mm แถมเขายังเป็นประธานชมรมภาพยนตร์ของมหาวิทยาลัยด้วย

ระหว่างเรียนเขามีโอกาสทำหนังสั้นสองเรื่องคือ Tarantella (1989) ซึ่งได้ทุนจากค่ายหนังอินดี้ Image Union ส่วนเรื่องที่สองคือ Larceny (1995) ได้ฉายในงาน Cambridge Film Festival และเข้าชิงรางวัลสาขาหนังสั้นยอดเยี่ยมด้วย อีกทั้งระหว่างที่เรียนอยู่นั้นเขาก็ได้พบกับเพื่อนสนิทที่ต่อมากลายเป็นภรรยาและโปรดิวเซอร์ส่วนตัว ‘เอ็มมา โทมัส’

หนังเรื่องแรกของ คริสโตเฟอร์ โนแลน

โนแลน ทำหนังยาวของตัวเองเรื่องแรกโดยชักชวนเพื่อน และคนรู้จักมาช่วยทำหนัง ซึ่งเขาได้ทุนก้อนเล็กๆ สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์โปรดัคชั่นเล็กแบบเล็กมากๆ เพราะมีทุนแค่ 1.3 แสนบาท หนังที่เขาทำเกี่ยวกับชีวิตนักเขียนตกงานที่ไปพบเจอคนแปลกหน้า ก่อนจะนำไปสู่เหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งตอนจบนั้นมีการหักมุม และต่อมาแนวทางการทำหนังของโนแลน ก็เริ่มชัดเจนขึ้นทั้งการตัดฉากสลับ และเล่าโดยพูดถึงเหตุการณ์ที่สลับลำดับเวลา แต่มีความเชื่อมโยงถึงกัน หนังเรื่องนี้ได้รับคำชมมหาศาล ก่อนที่ชื่อของโนแลน จะเริ่มเป็นที่สนใจจนได้มากำกับและเขียนบทให้กับหนังสเกลใหญ่กว่าเดิมที่เนื้อเรื่องและการเล่าเรื่องสร้างสรรค์ระดับขีดสุด Memento

โนแลน ยังคงสร้างความน่าสนใจให้กับวงการภาพยนตร์ได้ต่อเนื่องโดยเฉพาะภาพยนตร์ลำดับที่สองของเขา Memento โนแลน ได้ทุนทำหนังมา 151 ล้านบาท (น้อยมากๆ เมื่อต้องสร้างหนังระดับฉายฮอลลีวูดส์) โดยเขาดัดแปลงมาจากเรื่องสั้น ‘Memento Mori’ (เขียนโดยโจนาธาน โนแลน น้องชายเขา) ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือโนแลน พัฒนาวิธีการเล่าเรื่องแบบไม่ลำดับเวลามาตั้งแต่ใน Following

พอมาเป็น Memento โนแลน เลยเลือกวิธีการเล่าเรื่องแบบท้ายเรื่อง ไปต้นเรื่องซะเลยด้วยภาพสี และเล่าเรื่องแบบปกติด้วยฟิล์มขาวดำคู่ขนานกันไป แล้วค่อยไปรวมเป็นเรื่องเดียวกันต้องท้าย ซึ่งแนวคิดการนำเสนอแบบนี้ถือว่าใหม่มาก และมีความคมกริบมีชั้นเชิง ก่อนที่เวลาต่อมาหนังเรื่องนี้จะกลายเป็นกรณีศึกษาของการลำดับภาพที่สถาบันสอนทำหนังหลายแห่งนำไปเป็นกรณีศึกษา

คืนชีพ Batman

คริสโตเฟอร์ โนแลน

โนแลน จัดว่าเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยทำหนังสเกลใหญ่แบบแอคชั่นถล่มทลายเลย กระทั่งวอร์เนอร์ บราเธอส์ มองหาผู้กำกับสักคนที่จะมาคืนชีพให้แบทแมน หลังจากที่ Batman & Robin ซึ่งฉายในปี 1997 พังไม่เป็นท่า และหวยก็มาออกที่โนแลน ซึ่งโนแลน ก็ได้เขียนบทเอง ร่วมกับ ‘ดาวิด เอส กอยเยอร์’ แน่นอนว่าโนแลน แบกความกดดันในการทำแบทแมน ฉบับใหม่เพราะหนังสเกลใหญ่มาก

นักแสดงแต่ละคนก็เบอร์ใหญ่ทั้งคริสเตียน เบล, เลียม นีสัน, มอร์แกน ฟรีแมน และแคธี่ โฮล์มส์ แต่กลายเป็นว่าแบทแมน ในการให้กำเนิดของโนแลนด์ นั้นดีอย่างเยี่ยมยอดทั้งการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของหนังที่ไม่ใช่แค่เป็นหนังฮีโร่ ไล่ตีกับเหล่าร้าย แต่เขาทำให้แบทแมน มีความเป็นมนุษย์อย่างทีไ่ม่เคยเหน เนื้อเรื่องมีมิติซ้อนในแบบโนแลน โทนหนังดูมืดมน และน่าตื่นเต้นในทุกภาค จนแบทแมน ทั้งสามภาค กลายเป็นหนังฮีโร่ในความทรงจำของคนที่ชอบแบทแมน

หลังแบทแมน จบครบไตรภาค โนแลน กลายเป็นผู้กำกับที่ไม่ต้องพิสูจน์ฝีมืออะไรอีกแล้ว เพราะเขาทำหนังอะไรก็สำเร็จเสียหมดนับตั้งแต่ following จนมาถึง Batman Begin ต้นสังกัดเลยต่อสัญญาเขาด้วยตัวเลขกว่า 7 หลักเพื่อให้เขากำกับ ‘Inception’ ซึ่งก็เป็นอีกหนังระดับมหากาพย์ที่สร้างชื่อให้โนแลนอีกเช่นกัน ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่า ทั้งเนื้อเรื่อง การถ่ายทำ และการนำเสนอนั้นดีแค่ไหน

ตัวพ่อของการใช้ทุนสร้างสูง

อาจจะคิดว่า Interstellar คือหนังที่ลงทุนสูงที่สุดของโนแลน แต่จริงๆ แล้ว The Dark Knight Rises ต่างหากที่เป็นหนังลงทุนสูงสุดของโนแลน โดยแบทแมน ภาคสุดท้ายนั้นลงทุนไปถึง  250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 8.4 พันล้านบาท ขณะที่ Interstellar ใช้ทุนสร้างเพียง 165 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 5.5 พันล้านบาท ส่วนหนังที่โนแลน กำกับและใช้ทุนน้อยที่สุดคือ Following ซึ่งใช้ทุนแค่ 6,000 ดอลลาร์ หรือ 2 แสนบาทเท่านั้น

และตั้งแต่ทำหนังมาแล้วเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ หนังของโนแลนไม่เคยเจ๊ง และทำรายได้ดีตลอดมาโดยหนังที่เขาสร้างแล้วทำรายได้ดีที่สุดคือ The Dark Knight Rises โดยกวาดไปทั่วโลก 1.085 พันล้านบาทเหรียญสหรัฐฯ หรือ 3.6 หมื่นล้านบาท จากทุนสร้าง 8.4 พันล้านบาท หรือได้กำไร 4 เท่าจากทุนสร้างนั้นเอง (โห้ววว) ขณะที่หนังเรื่องอื่นๆ ของเขาตั้งแต่ Following ยัน Interstellar ก็ไม่มีเรื่องไหนเจ๊งเลย

คริสโตเฟอร์ โนแลน

นอกจากนี้ โนแลน เป็นผู้กำกับหนังที่มีค่าตัวมากที่สุดในฮอลลีวูดส์ จนทำให้เขาถึงแท่นเป็นผู้กำกับที่มีค่าตัวมากที่สุดในโลก (แต่ไม่ใช่ผู้กำกับที่รวยที่สุด) เรื่องล่าสุด Dunkirk นั้น Hollywood Reporter รายงานว่า โนแลน ได้ค่าตัวในการกำกับถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 674 ล้านบาท เป็นรายได้ที่มากที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ซึ่งผู้กำกับที่เคยได้ค่ากำกับขนาดนี้ก็มีแค่ปีเตอร์ แจ็คสัน ที่เคยกำกับ ‘King Kong’ เท่านั้น แต่โนแลน ยังได้โบนัส จากยอดฉายอีก 20% ต่างหากอีกด้วย

เรามาทำความรู้จักสาวน้อย ผู้ทรงเสน่ห์คนนี้ น้องมินนี่ ภัณฑิรา พิพิธยากร กัน หรือหลายๆคนอาจจะจำเธอได้จากการแสดงบท “สาย” นางเอกบ้านนาหน้าตาน่ารัก เป็นนางเอกในภาพยนตร์เรื่อง แสงกระสือ นั้นเอง น้องมินนี่ ภัณฑิรา ยังเคยมีผลงานนางเอกเอ็มวี ของมาตัง สาวที่อกหักในเอ็มวีถึง 3 เพลงรวด

อ่านบทความเพิ่มเติม : Black Mamba เปิดตำนานใหม่วงร็อคอสรพิษ