โรเบิร์ต แพททินสัน กับบทบาท การเป็นบรูซ เวยน์ ในแบทแมนภาคใหม่

โรเบิร์ต แพททินสัน กับบทบาท การเป็นบรูซ เวยน์ ในแบทแมนภาคใหม่

เป็นที่ฮือฮาของแฟนหนังทั่วโลกอย่างมาก กับการปล่อยตัวอย่างหนังสุดเท่ห์ แบทแมน ภาคใหม่ล่าสุดที่จะเข้าฉายในปี 2021 นี้ ทำให้แฟนๆจดวันบทปฏิทิน ตั้งตารอที่จะดูหนังเรื่องนี้ แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีกระแสต่อต้าน พระเอกคนใหม่ก็ตาม นั้นคือ การได้ตัว โรเบิร์ต แพททินสัน (Robert Pattinson) มารับบทนำ เป็น บรูซ เวย์น ทำให้แฟนหนังแบทแมน บางกลุ่มได้ออกแสดงความคิดเห็นที่ว่า โรเบิร์ต แพททินสัน ไอ้หนุ่มแวมไพร์ จากหนังรักวัยรุ่นเรื่อง Twilight เนี่ยนะ อาจจะยังไม่เหมาะสมเท่าไรมั้ง แต่ตัวอย่างหนังที่ออกมานั่น ก็ทำให้หลายคนที่เคยต่อต้านหนุ่มโรเบิร์ต ต้องคิดใหม่ และให้โอกาสเขาได้พิสูจน์ฝีมือ เพราะในตัวอย่าง ชุดแบทแมนมันช่างดูเหมาะกับเขาจริงๆ

โรเบิร์ต แพททินสัน กับบทบาท การเป็นบรูซ เวยน์ ในแบทแมนภาคใหม่
โรเบิร์ต แพททินสัน กับบทบาท การเป็นบรูซ เวยน์ ในแบทแมนภาคใหม่

ถ้าจะต้องพูดถึงโรเบิร์ต แพททินสัน แน่นอนว่าทุกคนคงจะต้องนึกถึง เอ็ดเวิร์ด แวมไพร์หน้าหล่อ จากหนังรักชุด Twilight อาจรู้สึกขัดใจกับการที่เขาได้รับบทอัศวินรัตติกาล แต่สำหรับผู้ที่ติดตามผลงานของเขามาตลอดอาจรู้สึกต่างออกไป ด้วยความที่ผลงานของเขาหลังจาก Twilight นั้นส่วนใหญ่เป็นหนังอิสระทุนต่ำของผู้กำกับมากวิสัยทัศน์ที่มีความแปลกใหม่ท้าทาย เช่นเดียวกับบทบาทของเขาที่ท้าทายความสามารถหักล้างภาพลักษณ์ของหนุ่มหน้าใสขวัญใจสาว ๆ ไปหมด ส่งผลให้เขาเป็นหนึ่งในบรรดานักแสดงรุ่นใหม่ที่มีผลงานการแสดงที่น่าสนใจที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ทำให้เขาเป็นตัวเลือกสำหรับบทแบทแมนที่เราเห็นว่าน่าตื่นเต้นมาก

จุดที่ทำให้ชื่อ โรเบิร์ต แพททินสัน เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

แพททินสันเกิดและเติบโตที่เมืองลอนดอนในครอบครัวนักธุรกิจ ความสนใจของเขาในตอนวัยรุ่นอยู่ที่การเล่นดนตรีและการดูหนัง (เขาเป็นซีเนไฟล์ตัวยง) เมื่ออายุ 15 ปี พ่อได้ผลักดันให้เขาเข้าร่วมชมรมละครเวทีเนื่องจากเห็นว่าเขาเป็นเด็กขี้อาย ทำให้เขาได้เห็นถึงเสน่ห์ของมันจนตัดสินใจไปออดิชันและได้รับบทในละครเวทีหลายเรื่อง

ต่อมาแพททินสันได้เล่นหนังเรื่องแรกอย่าง Vanity Fair (2004) ซึ่งเป็นบทเล็ก ๆ ที่ถูกตัดทิ้งในห้องตัดต่อ (โดยเขาเพิ่งรู้เรื่องนี้ตอนดูหนังในรอบพรีเมียร์) ก่อนที่จะโด่งดังเป็นพลุแตกจากบทใน Harry Potter and the Goblet of Fire (2005) ซึ่งเขาแสดงเป็นเซดริก ดิกกอรี่ – นักเรียนที่เข้าประลองไตรภาคีร่วมกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ บทดังกล่าวส่งผลให้นักแสดงวัย 19 ปี (ในขณะนั้น) ได้รับการจับตามองอย่างมาก โดยเขาถูกสื่อต่าง ๆ มองว่าเป็น ‘จู๊ด ลอว์’ คนใหม่

โรเบิร์ต แพททินสัน กับบทบาท การเป็นบรูซ เวยน์ ในแบทแมนภาคใหม่

หลังจากรับบทในละครเวทีและหนังทางทีวีหลายเรื่อง เขาก็ได้แสดงหนังที่ส่งผลให้เขาโด่งดังยิ่งกว่าเดิมอย่างหนังชุด Twilight (ประกอบด้วยหนัง 5 เรื่องอย่าง Twilight (2008), New Moon (2009), Eclipse (2010), Breaking Dawn – Part 1 (2011), Breaking Dawn – Part 2 (2012)) ในบท ‘เอ็ดเวิร์ด คัลเลน’ แวมไพร์ซึ่งตกหลุมรัก ‘เบลล่า สวอน’ (รับบทโดยคริสเตน สจ๊วร์ต) เด็กสาวมนุษย์ธรรมดาที่เพิ่งย้ายเข้ามาในเมือง โดยแพททินสันสามารถเอาชนะคู่แข่งที่มาออดิชันมากกว่า 3,000 คน

หนังชุดนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากโดยทำเงินทั่วโลกรวมกัน 3.3 พันล้านเหรียญ ทำให้เขาในวัย 22 ปีกลายเป็นนักแสดงที่ทำรายได้สูงสุดในช่วงนั้น, เป็นหนึ่งใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลกในปี 2010 ของนิตยสาร Time, เป็นหนึ่งในบุคคลที่เซ็กซี่ที่สุดในปี 2008 ของนิตยสาร The People ฯลฯ

ด้วยบทบาทแวมไพร์หล่อเหลาเงียบขรึมที่จะเพอร์เฟ็กต์ไปเสียทุกอย่างส่งผลให้เขามีแฟนคลับที่หลงใหลคลั่งไคล้เขามากมาย (แฟนคลับของทไวไลท์ถูกเรียกว่า “Twihard” ส่วนเขาถูกเรียกจากเหล่าแฟนคลับว่า “RPatz”) ดังจะเห็นได้จากหนังสารคดี Robsessed (2009) ซึ่งเก็บภาพความคลั่งไคล้ของแฟน ๆ ที่มีต่อตัวเขาเอาไว้ได้อย่างดี

แต่ในอีกแง่หนึ่งหนังชุดดังกล่าวก็ส่งผลในแง่ลบ ด้วยความที่หนังถูกถล่มอย่างมากทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชมหลายกลุ่ม ส่วนแพททินสันก็ถูกมองว่าเป็นนักแสดงขายหน้าตาไร้ความสามารถ นอกจากนั้นการที่เขาได้รับความสนใจจากสื่อและปาปาราซซีอย่างมาก (โดยเฉพาะช่วงที่เขาเกิดความรักนอกจอกับคริสเตน สจ๊วร์ต) มันก็ขัดแย้งกับตัวตนจริง ๆ ของเขาที่ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ และไม่ชอบพูดถึงเรื่องส่วนตัว

“หลัง Twilight ออกฉาย ชื่อเสียงความโด่งดังก็โถมใส่ผม มีผู้คนให้ความสนใจและเข้าหาผมมากมาย มีหลายคนตะโกนชื่อผม สิ่งที่ผมทำกลายเป็นข่าวไปเสียหมด ซึ่งมันยากที่จะเข้าใจหรือจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ มันดูบ้าคลั่งมาก” แพททินสันกล่าว “ผมเป็นคนพารานอยด์ ไม่ชอบคนเยอะ ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ไม่ชอบถูกมองหรือถ่ายรูป ไม่นิยมเปิดเผยเรื่องส่วนตัวหรือขายข่าวของตัวเอง ผมมักจะออกสื่อหรือให้สัมภาษณ์ก็ต่อเมื่อต้องโปรโมตหนังเท่านั้น ซึ่งบางครั้งผมก็คิดว่าผมเลือกการงานที่ไม่เหมาะกับตัวเอง”

เขามักจะมีปัญหากับปาปาราซซีบ่อยครั้ง “เราไม่มีทางเอาชนะปาปาราซซีได้ ซึ่งผมคิดว่าโลกจะดีกว่านี้ถ้าปาปาราซซีเปลี่ยนไปจับจ้องความเคลื่อนไหวของนักการเมืองหรือนักธุรกิจพันล้านว่าเขาทำอะไรผิดปกติบ้าง แทนที่จะมาติดตามคนอย่างผม”

สู่ความท้าทายที่มากขึ้น

หลังหนังชุด Twilight จบลง แทนที่เขาจะเพลย์เซฟด้วยการเล่นหนังสตูดิโอฟอร์มใหญ่หรือหนังแฟรนไชส์ที่ได้ค่าตอบแทนสูง (เหมือนนักแสดงส่วนใหญ่ทำกัน) เขากลับเลือกเล่นหนังอิสระทุนต่ำ, หนังทดลองที่มีความแปลกใหม่, หนังของผู้กำกับออเตอร์ (auteur- ผู้กำกับที่มีความเป็นศิลปิน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง) และหนังที่เปิดโอกาสให้เขาได้รับบทท้าทายความสามารถ

แน่นอนว่าหนังเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ทำเงิน ฉายวงแคบ ไม่อยู่ในสายตาออสการ์ และไม่สร้างรายได้ให้เขาสักเท่าไร แต่มันก็ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพและกล้าหาญ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่เขาอิ่มตัวจากหนังแฟรนไชส์ใหญ่ ๆ, เบื่อการเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัว, ต้องการเป็นนักแสดงที่จริงจังมากขึ้น, ด้วยความเป็นซีเนไฟล์ที่ชอบดูหนังแปลก ๆ ท้าทายทำให้เขาอยากเห็นหนังแนวนี้ถูกสร้างมากขึ้น

(หมายเหตุ – นอกจากแพททินสันแล้ว ยังมีคริสเตน สจ๊วร์ต, แดเนียล แรดคลิฟฟ์, เอมมา วัตสัน, ไชอา ลาบัฟ ซึ่งเป็นนักแสดงวัยรุ่นจากหนังแฟรนไชส์ฟอร์มยักษ์ที่เน้นเล่นหนังอินดี้อาร์ตเฮาส์เป็นหลักเช่นกัน)

Cosmopolis (2012)

หนังเรื่องแรกที่ทำให้เขาได้รับความสนใจจากคอหนังรางวัล ได้แก่ Cosmopolis (2012) ของผู้กำกับเดวิด โครเนนเบิร์ก ซึ่งเข้าฉายในสายประกวดในคานส์ มันเป็นหนังที่เต็มไปด้วยบทสนทนาเกี่ยวกับโลกยุคใหม่, เศรษฐกิจ, ปรัชญา ฯลฯ ส่งผลให้ผู้ชมที่มาดูหนังเรื่องนี้เพราะแพททินสันเหวอกันเป็นแถว (ผู้เขียนดูหนังเรื่องนี้ในโรงหนังใจกลางเมือง มีคนเดินออกกลางเรื่องมากกว่า 10 คน)

“มันเป็นประสบการณ์ที่เปิดหูเปิดตาผมมาก ทำให้ผมรำลึกถึงความรักในภาพยนตร์และย้ำเตือนผมถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกเป็นนักแสดง” แพททินสันกล่าว

“ในอุตสาหกรรมหนังตอนนี้มีผู้กำกับออเตอร์แบบโครเนนเบิร์กน้อยลง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมหงุดหงิดเกี่ยวกับการทำหนังก็คือ เมื่อคุณเตรียมเดินหน้าโปรเจกต์แล้ว แต่สองวันก่อนถ่ายทำกลับมีการสั่งให้รีไรต์บทใหม่จนหนังเปลี่ยนไปเสียหมด เช่นเปลี่ยนเรื่องราวของหนังหรือเปลี่ยนจากหนังเรท R เป็น PG – 13

ซึ่งพอเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้ทำหนังแต่คุณกำลังทำ ‘แม่เหล็กติดตู้เย็น’ ต่างหาก แต่สำหรับโครเนนเบิร์ก คุณรู้ว่ามันจะยังคงเป็น ‘หนัง’ จนจบกระบวนการ และมันจะออกมายอดเยี่ยมแน่นอน” ซึ่งภายหลังเขาได้ร่วมงานกับโครเนนเบิร์กอีกครั้งใน Maps to the Star (2014)

หลังจากนั้นเขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับออเตอร์รุ่นเก๋าหลายคน เช่น เดวิด มิชอด – The Rover (2014), เวอร์เนอร์ แฮร์โซก – Queen of the Desert (2015), แอนทอน คอร์บิน – Life (2015), เจมส์ เกรย์ – The Lost City of Z (2016), แคลร์ เดนิส – High Life (2018) และได้ร่วมงานกับผู้กำกับหน้าใหม่มาแรงอย่างเบรดี้ คอร์เบต – The Childhood of the Leader (2016), จอช แซฟดี/เบนนี่ แซฟดี – Good Time (2017), โรเบิร์ต เอกเกอร์ส – The Lighthouse (2019), ซิโร กูเอร์ร่า – Waiting for the Barbarians (2019)

โดยบทบาทในหนังที่เขาเล่นช่วงนี้ส่วนใหญ่ห่างไกลจากบทเทพบุตรขวัญใจสาว ๆ ที่เคยเป็นภาพจำของเขาอย่างมาก เช่น The Rover ในบทโจรสมองช้า, The Lost City of Z ในบทนักสำรวจป่าแอมะซอน (เขากลืนไปกับบทจนหลายคนจำเขาไม่ได้), Good Time ในบทกุ๊ยข้างถนน, High Life ในบทนักโทษประหารที่ถูกส่งไปอวกาศเพื่อทดลองเรื่องเพศ ซึ่งหลายบทก็ต้องอาศัยความทุ่มเทอย่างมาก เช่น The Lighthouse ซึ่งเขาต้องลดน้ำหนักและไปถ่ายทำบนเกาะที่ห่างไกลและยากลำบาก

การที่เขาเล่นหนังอาร์ตเฮาส์อิสระทุนต่ำที่ไม่แมสเป็นหลัก ส่งผลให้หนังพวกนี้ที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องได้รับอนุมัติให้สร้างง่ายขึ้นและได้รับความสนใจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นผลดีเนื่องจากในยุคนี้หนังแนวดังกล่าวมีพื้นที่น้อยลง เนื่องจากถูกเบียดบังโดยหนังซูเปอร์ฮีโร หนังแฟรนไชส์ฟอร์มยักษ์ และหนังสตรีมมิงอย่าง Netflix ซึ่งแพททินสันกล่าวว่า “ผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นผู้สนับสนุนหนังอาร์ตเฮาส์ขนาดนั้น แต่ผมอยากให้หนังแนวดังกล่าวซึ่งผมชอบดูได้รับการสร้างและถูกพูดถึงมากขึ้น ผมไม่ได้คิดแบบแอคติวิสต์ ผมเป็นเพียงนักแสดงที่อยากมีส่วนร่วมกับหนังที่น่าสนใจ”

ก้าวสู่หนังฟอร์มยักษ์ของฮอลลีวู้ดอีกครั้ง

หลังจาก Twilight เขาไม่เคยเล่นหนังสตูดิโอฟอร์มใหญ่อีกเลย จนกระทั่งตอนนี้ที่เขาจะรับบทนำในหนังฟอร์มใหญ่ของสตูดิโอวอร์เนอร์ 2 เรื่อง

โรเบิร์ต แพททินสัน  Tenet

เรื่องแรกคือ Tenet หนังแอ็คชั่นซึ่งมีฉากหลังอยู่ในโลกของสายลับ กำกับโดยคริสโตเฟอร์ โนแลน “โนแลนเป็นผู้กำกับคนเดียวในตอนนี้ที่ทำหนังซึ่งมีความเป็นหนังอิสระและเป็นส่วนตัวในสเกลใหญ่ขนาดนี้ได้ ผมได้อ่านบทหนังแล้ว มันให้ความรู้สึกเหนือจริง (Unreal) มาก” แพททินสันกล่าว หนังมีกำหนดเข้าฉายที่อเมริกา 17 กรกฎาคม 2020

บทบาท การเป็นบรูซ เวยน์ ในแบทแมนภาคใหม่

เรื่องที่สองคือ The Batman ของผู้กำกับแมตต์ รีฟส์ (จาก Cloverfield, Dawn of the Planet of the Apes) ซึ่งแพททินสันเป็นนักแสดงอายุน้อยที่สุดที่เคยเล่นบทแบทแมน ผู้กำกับกล่าวว่าหนังจะขับเคลื่อนด้วยตัวละครเป็นหลัก, ตัวละครแบทแมนจะอยู่ในช่วงวัยหนุ่ม, หนังจะใกล้เคียงกับการ์ตูนยุคแรกที่มีความเป็นการ์ตูนแนวนักสืบ หนังมีกำหนดฉายในอเมริกา 25 มิถุนายน 2021

การที่สตูดิโอเลือกแพททินสัน (ซึ่งช่วงหลังถูกมองว่าเป็นนักแสดงที่นิยมเล่นหนังสายทดลองและบ้าบิ่น) มารับบทนี้ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญและน่าตื่นเต้น ซึ่งเชื่อว่าจะสร้างความแปลกใหม่ให้กับซูเปอร์ฮีโร่ที่มีอายุยืนยาวกว่า 80 ปีตัวนี้ได้ (คุณสมบัติหนึ่งของเขาที่แฟน ๆ มองว่าเหมาะกับบทแบทแมนก็คือการที่เขามีกรามใหญ่และคางสวย ซึ่งเหมาะแก่การเล่นเป็นตัวละครที่ใส่หน้ากากปิดหน้าโชว์คาง)

ทั้ง 2 เรื่องใหม่ที่กำลังจะเข้าฉายให้เราได้ชมเร็วๆ นี้ ก็จะเป็นผลงาน ที่จะพิสูจน์ฝีมือการแสดงของเขาอีกครั้ง มันยังคงสอดคล้องกับอุดมการณ์ของเขาอยู่นั่นคือเลือกเล่นหนังจากผู้กำกับ (ซึ่งโนแลนกับรีฟส์ถือเป็นผู้กำกับที่ผลงานโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแม้จะทำหนังสตูดิโอทุนสูง) นอกจากนั้นการที่เขาได้รับค่าตัวกับชื่อเสียงจากบทแบทแมน นั่นก็แปลว่าจะทำให้เขามีโอกาสผลักดันหนังฟอร์มเล็กให้ได้สร้างต่อไปอีกหลายเรื่องอีกด้วย

แนะนำเกมสล็อต Goldaur Guardians เริ่มต้นภารกิจแฟนตาซีของคุณเองและก้าวเดินตามรอยวีรบุรุษในสล็อตออนไลน์ Goldaur Guardians สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของป่าความตื่นเต้นของการหมุนฟรีและความสุขของไฮเปอร์สปินในขณะที่คุณเล่นผ่านสล็อตออนไลน์ Alchemy Gaming

อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม : ดาวรุ่งดวงใหม่ อี้หยางเชียนซี จากซีรีส์ ฉางอันสิบสองชั่วยาม